วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เครื่องแต่งกายญี่ปุ่น





Kimono ถ้าแปลตามตัวอักษรคันจิจะแปลว่า "เครื่องนุ่งห่ม,เสื้อผ้า,เครื่องอาภรณ์" และมีวิวัฒนาการความเป็นมาที่ยาวนานคู่กับประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งกลายเป็นภาพติดตาเมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องนึกถึงภาพคนญี่ปุ่นในชุดกิโมโนที่สวยงาม Kimono มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันแล้วแต่โอกาสในการใส่ และเปลี่ยนรูปแบบไปตามฤดูกาล รวมถึงการสวมใส่ของแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัยก็ทำให้ Kimono เปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ


ปัจจุบันผู้ที่สวมใส่ Kimono ไม่ได้มีเพียงแต่คนแก่เท่านั้น วัยรุ่นก็ต้องใส่ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น วันฉลองอายุครบ 20 ปี , วันจบการศึกษา (ในบางโรงเรียน) เป็นต้น Kimono เป็นชุดที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงนิยมมอบให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานอีกด้วย แต่ก็มีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่ไม่สามารถสวมกิโมโน หรือผูกโอบิได้ถูกต้อง จึงได้มีโรงเรียนสำหรับสอนการสวมใส่กิโมโนเกิดขึ้น เนื้อผ้ากิโมโนนั้นมีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมแต่ถ้าเป็นไหมก็จะสวยงามมาก และราคาอาจจะสูงถึง ล้านเยน เลยก็มี
เมื่อพูดถึงเครื่องนุ่งห่มของชาวญี่ปุ่น หลายคนต้องนึกถึงชุด กิโมโน (KI MONO) แต่ชาวญี่ปุ่นจะสวมชุดกิโมโน ในโอกาสสำคัญบางโอกาส คือ พิธีบรรลุนิติภาวะ, งานแต่งงาน และพิธีเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา เท่านั้น นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่นิยมใส่กิโมโนไปในพิธี แต่โดยทั่วไปแล้วมักใส่ชุดเช่นเดียวกับชาวยุโรปทั่วไป ซึ่งชุดต่าง ๆ เหล่านี้ ถูกนำเข้าที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคสมัยเมจิ (MEIJI ERAS) นับจากนั้นมาเสื้อผ้าแบบฝรั่งกลับเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นมากกว่ากิโมโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะนิยมใส่ยีนส์กันมาก กิโมโน ถือว่าเป็นชุดญี่ปุ่น (WAFUKU) เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเป็นเส้นตรงเย็บจากผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ว่าจะเป็นคนสูง - เตี้ย - อ้วน - ผอม สามารถใส่ชุดกิโมโนได้สบายได้สบาย ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นข้อดีของกิโมโนเพราะตัดเพียงขนาดเดียวสามารถนำมาใส่ได้หมาะสมกับรูปร่างคนใส่ได้ทั้งหมด

ชุดกิโมโนอาจมีกำเนิดมาเช่นเดียวกับ ผ้า FUROSHIKI ซึ่งนำมาใช้ห่อของ แต่กลับนำมาห่อหุ้มร่างกาย แต่ชุดกิโมโนชุดใหญ่ที่นำมาใส่ในพิธีสำคัญ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีบรรลุนิติภาวะ เป็นชุดที่มีราคาแพงมากบางชุดมีมูลค่าสูงเป็นหลายล้านเยนทีเดียว ดังนั้นการเลือกสีและลายจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เนื่องจากว่าต้องสามารถนำชุดที่มีราคาแพงมาใส่ได้แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปี และผู้ใส่มีอายุสูงขึ้นแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้กิโมโนแทบจะไม่มีผู้ใส่แล้วเนื่องจากใส่ยาก, ใส่แล้วอึดอัด ต้องคอยระมัดระวังไม่สามารถทำตัวตามสบายได้ รวมถึงราคาสูงมาก เป็นต้น แต่ชุดกิโมโนที่ยังมีอยู่นิยมใส่อยู่คือ ชุด YUKATA เป็นชุดกิโมโนประเภทหนึ่งทำด้วยผ้าฝ้ายสำหรับใส่ในฤดูร้อน เมื่อเทียบกับชุดกิโมโนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ตัดเป็นผ้าไหมแล้ว ชุดยูกาตะมีราคาถูกสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย จึงมีผู้นิยมใส่กันอยู่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ แทบจะทุกคนเคยสวมชุดยูกาตะ รำวงญี่ปุ่นที่เรียกว่า "BON ODORI" ในตอนสวมชุดกิโมโน ต้องสวมถุงเท้าที่เรียกว่า "ZORI" และรองเท้าเกี๊ยะ ที่เรียก "GETA" "สวมใส่ยูกาตะต้องสวม GETA" ในอดีตจนถึงราวทศวรรษที่ 1950 ชาวญี่ปุ่นสวมรองเท้าเกี๊ยะกับเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแม้ในเมืองจะพบเห็นร้านขายรองเท้าเกี๊ยะ และมีคนขายนั่งทำรองเท้าเกี๊ยะอยู่ในร้านด้วยแต่ในปัจจุบันนี้ร้านรองเท้าเกี๊ยะแทบจะไม่ได้พบเห็นหลังจากวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นให้หายไปทีละน้อย จนแทบจะไม่สามารถพบเห็นกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หน้าเสียดายมาก

Yukata - กิโมโนสำหรับใส่ในฤดูร้อน หรือใส่ลำลอง

Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน ใส่ได้ทั้งชายและหญิง มักจะสวมเมื่อต้องออกไปข้างนอก เนื่องจากกิโมโนราคาแพงจึงต้องสวม Haori เพื่อป้องกันกิโมโนเปื้อน สาบเสื้อด้านหน้าจะไม่ผูกให้ชนกัน แต่จะมีเชือกสำหรับผูกอยู่ด้านหน้า
Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน
Michiyuki - เป็นเสื้อสำหรับสวมด้านนอกเช่นกัน ลักษณะการใช้งานจะคล้ายกับ Haori จะแตกต่างกันตรงคอเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
gi - เสื้อที่ใส่คู่กับ hakama สำหรับผู้ชาย gi นั้นใช้สวมเป็นเสื้อเมื่อเล่นกีฬาต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็น kendo, judo, ยิงธนู, akido เป็นต้น
Hakama - กางเกง สามารถใส่ได้ทั้งหญิงและชาย ใช้สวมใส่ลำลอง หรือพิธีการ
หรือแม้แต่ใช้ในการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็น kendo, ยิงธนู ฯลฯ
Samugi (Samue) เป็นเครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าฝ้าย สวมใส่สบาย ใช้สวมใส่ขณะทำงานที่อาจจะต้องมีเหงื่อ เช่น งานเสิร์ฟอาหาร, ทำสวน, ออกกำลังกาย หรือบางคนก็ใส่อยู่บ้านก็ได้ ในสมัยก่อนเป็นเครื่องแต่งการของพระแต่ปัจจุบันนิยมสวมใส่ในคนทั่วไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น