วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สถานที่ท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น

ภูเขาไฟฟูจิ ได้รับการยกย่องว่าเป็นภูเขาที่สวยขนาดไม่มีภูเขาลูกใดมาเทียบเคียงได้ และทะเลสาบอาชิ ในฮาโกเนะก็เป็นทะเลสาบที่คนนิยมมาบันทึกภาพเก็บไว้บ่อยครั้งที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่ของฟูจิและฮาโกเนะถูกกำหนดให้เป็น อุทยานแห่งชาติ ภูเขาไฟฟูจิ โผล่พ้นผิวมหาสมุทรเป็นรูปกรวยคว่ำได้สัดส่วนงามสง่า ภูเขาไฟฟูจิเป็นดินแดนต้องห้ามของผู้หญิงมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว



โตเกียวทาวเวอร์ (ภาษาญี่ปุ่น: 東京タワー, โตเกียวทะวา; ภาษาอังกฤษ: Tokyo Tower) คือหอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 332.6 เมตร(1,091 ฟุต) สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958)

นอกจากจะเป็นหอคอยที่ไว้ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ เช่น NHK TBS ฯลฯ แล้ว โตเกียวทาวเวอร์ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียวอีกด้วย โดยปีหนึ่งจะมีคนเข้าชมหอมากกว่า 2 ล้าน 5 แสนคน บริเวณหอคอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนล่างสุดเป็นอาคารสูง 4 ชั้นที่ตั้งอยู่ใต้หอโดยตรง ภายในประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านคา ภัตตาคาร ฯลฯ อีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นจุดชมทัศนียภาพของหอคอย ตั้งอยู่บนความสูง 150 เมตร และ 250 เมตรตามลำดับ


พระราชวังอิมพีเรียล (Tokyo) พระราชวัง แห่งนี้เป็นที่ประทับของพระจักรพรรดิและพระราชวงศ์ อาณาบริเวณหลายแห่งในพระราชวังจึงมิได้เปิดให้เข้าชม แต่บางส่วนจะเปิดให้เข้าชมได้ในช่วงวันหยุดพิเศษ ตัวปราสาทสร้างตามรูปแบบในสมัยเอโดะ ล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงหิน ทางเข้าหลักจะเป็นสะพานคู่หรือเรียกว่า นิจูบาชิ (Nijubashi) ที่สร้างได้อย่างสวยสง่างาม แต่ไม่เปิดให้บุคคลทั่วไปผ่าน ยกเว้นในช่วงปีใหม่และวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิที่จะเปิด ให้พสกนิกร(บางคน)ข้ามมารับพระราชทานพรใกล้ๆที่ประทับ ทางด้านตะวันออกจะมีสวนดอกไม้ (Higashi Gyoen) ซึ่งจัดไว้อย่างสวยงามเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอด เวลา และเข้าไปยังเขตพระราชฐานได้ 3 ประตู จากทั้งหมด 8 ประตู คือ โอเตมง(Ote-mon), ฮิรากาวะมง(Hirakawa-mon) และคิตะฮาเนบาชิมง(Kitahanebashi-mon) ตัวพระตำหนักเป็นอาคารคอนกรีตทรงเตี้ยกว้างสร้างด้วยหินแกรนิตและบะซอลต์จาก ภูเขาไฟ คลุมด้วยหลังคาสีเขียว สร้างเสร็จในปี 1970 แทนพระตำหนักไม้หลังเดิมที่ถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกในปี 1945

อาหารของญี่ปุ่น

อาหาร


อาหารเช้าแบบโรงแรมญี่ปุ่นชาวญี่ปุ่นกินข้าวเป็นอาหารหลัก อาหารญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงได้แก่ซูชิ เทมปุระ สุกียากี้ ยากิโทริและโซบะ[155] อาหารญี่ปุ่นหลายอย่างดัดแปลงจากอาหารต่างประเทศ เช่นทงคัตสึ ราเม็งและแกงกะหรี่ญี่ปุ่น[156] อาหารญี่ปุ่นได้รับความนิยมในต่างประเทศเพราะเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ จากการสำรวจพบว่าในปี 2006 มีร้านอาหารญี่ปุ่นมากกว่า 20,000 แห่งทั่วโลก[156]

ชาวญี่ปุ่นมีความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบจึงทำให้มีอาหารประจำท้องถิ่น[157]และอาหารประจำฤดู[158] วัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ในอาหารญี่ปุ่นคือถั่วเหลือง ซึ่งนำมาทำโชยุ มิโสะ เต้าหู้[159] ถั่วแดงซึ่งมักนำมาทำขนม และสาหร่ายชนิดต่าง ๆ เช่นคอมบุ นอกจากนี้ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมกินซะชิมิหรืออาหารทะเลดิบอีกด้วย[160]


ชาในญี่ปุ่นมีหลายชนิดซึ่งแตกต่างไปตามกรรมวิธีการผลิตและส่วนผสม[161] เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีต้นกำเนิดจากญี่ปุ่นคือเหล้าสาเก (หรือนิฮงชุ ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งผลิตโดยใช้วิธีหมักข้าว[162] และโชชูซึ่งเป็นเหล้าที่เกิดจากการกลั่น[163]

ภูมิอากาศและฤดุกาลญี่ปุ่น

ภูมิอากาศ

เพราะเกาะของญี่ปุ่นทอดยาว สภาพอากาศจึงแตกต่างกันมาก จากฮอกไกโดที่เยือกเย็นในภาคเหนือ จนถึงเกาะกึ่งเขตร้อนของภาคใต้ ทุก ๆ ภูมิอากาศมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลด้วย ฤดูใบไม้ผลิ (ฮารุ) เริ่มในเดือนมีนาคม เมื่อต้นไม้เริ่มผลิดอกออกใบและกลางวันเริ่มอุ่นขึ้น เริ่มจากต้นพลัมบานเป็นทิวด้วยสีสัน จากนั้นต้นท้อก็จะบาน ประมาณปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน ทุกคนจะรออย่างกระตือรือร้นเมื่อสถานีโทรทัศน์พยากรณ์อากาศวันที่ดอกซากุระจะบานในแต่ละเมือง จากนั้นจัดงานเลี้ยงเพื่อชมดอกไม้ (ฮานามิ) ใต้ต้นซากุระ ดอกซากุระสีชมพู่ที่งดงามจะบานเพียง 1-2 สัปดาห์ก่อนที่มันจะโรย เปิดทางให้แก่ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิอื่น ๆ เช่น ดอกฟูจิ



ฤดูต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่น

ฤดูใบไม้ผลิ (ฮารุ) เริ่มในเดือนมีนาคม เมื่อต้นไม้เริ่มผลิดอกออกใบและกลางวันเริ่มอุ่นขึ้น เริ่มจากต้นพลัมบานเป็นทิวด้วยสีสัน จากนั้นต้นท้อก็จะบาน ประมาณปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายน ทุกคนจะรออย่างกระตือรือร้นเมื่อสถานีโทรทัศน์พยากรณ์อากาศวันที่ดอกซากุระจะบานในแต่ละเมือง จากนั้นจัดงานเลี้ยงเพื่อชมดอกไม้ (ฮานามิ) ใต้ต้นซากุระ ดอกซากุระสีชมพู่ที่งดงามจะบานเพียง 1-2 สัปดาห์ก่อนที่มันจะโรย เปิดทางให้แก่ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิอื่น ๆ เช่น ดอกฟูจิ

ฤดูร้อน (นัสซึ) ซึ่งเริ่มจากเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนกันยายน ช่วงต้นฤดูร้อน (โชะคะ) ระยะเวลาสั้นกับวันที่ร้อนและปลอดโปร่ง แล้วจึงเป็นช่วงฤดูฝน (ทซึยุ) ซึ่งจะมีฝนตกแทบทุกวัน ฤดูร้อนโดยรวมจะร้อนและชื้นทั่วญี่ปุ่น ยกเว้นฮอกไกโด ความร้อนเบากว่ามาก ระหว่างช่วงกลางฤดูร้อน (มะนัสซึ) ในเดือนสิงหาคม อากาศแม้จะร้อนแต่สดใส ผู้คนจึงนิยมไปตั้งแคมป์ เดินป่า (hiking) หรือว่ายน้ำ

ฤดูใบไม้ร่วง (อะกิ) เริ่มจากเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน สภาพอากาศจะเริ่มแห้งและเย็นลง แม้จะมีฝนตกเป็นครั้งคราว และยังอาจจะมีลมแรงหรือไต้ฝุ่น จากนั้นใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสี พืชพรรณธัญญาหารจะเก็บเกี่ยวกันในฤดูใบไม้ร่วง ท่ามกลางเทศกาลเก็บเกี่ยวของท้องถิ่นมากมาย

ฤดูหนาว (ฟุยุ) จากปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ลมหนาวจากไซบีเรียและมองโกเลียจะพัดผ่านญี่ปุ่น แม้ว่าอุณหภูมิจะพอประมาณในภาคใต้ แต่อากาศในโตเกียวหลาย ๆ วันจะอยู่เหนือจุดเยือกแข็งไม่เท่าไร ทางภูมิภาคแถบเหนือของเกาะฮอนชู ที่เรียกว่า โทโฮขุ และ โฮคุริคุ จะมีเนินหิมะขนาดใหญ่ และฮอกไกโดจะหนาวมาก แต่อากาศทางเหนือก็หาได้หยุดนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วโลกที่จะมาดูหิมะและรูปปั้นหิมะ ณ เมืองซัปโปโร เมืองหลวงของ ฮอกไกโด

รู้จักราชวงศ์ญี่ปุ่น




รู้จักราชวงศ์ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนประเทศไทย หรือที่เรียกว่า ราชาธิปไตย ราชวงศ์ญี่ปุ่นมีการสืบทอดสัตติวงศ์มายาวนานราชวงศ์หนึ่งในโลกยาวนานถึง 6 ศตวรรษ ถึงแม้จะเรียกกษัตย์ว่า Tenno [จักรพรรดิ] หรือ Sumera Mikoto [ผู้มีอำนาจมาจากสวรรค์] เป็นคำจำกัดความของกษัตริย์ญี่ปุนสัญญาลักษณ์ประจำราชวงศ์ก็คือ KIKU หรือ ดอกเบญจมาศ

ราชวงศ์ญี่ปุ่นเคยได้รับการเคารพ และเป็นที่นักนับถือของประชาชนญี่ปุ่นมาช้านาน จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ศาลรัฐธรรมนูญได้จัดให้ราชวงศ์ญี่ปุ่นเป็น "สัญญาลักษณ์ของประเทศ" ในการประกอบพิธีการต่าง ๆ เท่านั้น


สมเด็จพระจักรพรรดิ์ และจักรพรรดินี
สมเด็จพระจักรพรรดิ์ Akihito (Heisei) ขึ้นครองอำนาจเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1989 หลังจากที่จักรพรรดิ Hirohito พระบิดาทรงสวรรคต สมเด็จพระจักรพรรดิ์ Akihito ทรงประสูตที่โตเกียว เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1933 ทรงเรียนจบมาจาก Gakushuin University เป็นสถาบันทางด้านกฎหมาย ในปี 1956 - 1959 ทรงอภิเษกสมสรกับ Shoda Michiko ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัย Seishin Jyoshi หรือ University of the Sacred Heart



ทั้งสองพระองค์ได้ให้กำเนิดเจ้าชายสองพระองค์ และเจ้าหญิงหนึ่งพระองค์ และทรงชื่นชอบการท่องเที่ยวโดยทั้งสองพระองค์ทรงท่องเที่ยวไปทั่วโลก และเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ และทั้งสองพระองค์ก็ทรงโปรดปรานกีฬาเทนนิส เมื่อครั้นที่พบกันครั้งแรกก็พบกันที่คอร์ทเทนนิสนั่นเอง สำหรับองค์จักรพรรดินี Michiko เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวางตัวของสตรีสูงศักดิ์ เสียงของพระองค์นั้นนุ่มนวลอย่างน่าอัศจรรย์ พระพักดิ์ของพระองค์ดูเยือกเย็น แต่แฝงด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น

พระราชประวัติสมเด็จพระจักรพรรดิ์ Akihito
พระนาม : Akihito
สืบเชื้อสายจาก : เป็นพระโอรสของจักรพรรดิ์ Showa keizer (Hirohito)
วันประสูติ : 23 ธันวาคม 1933
พระนามก่อนครองราช : เจ้าชาย Tsugu (Tsugu-no-Miya)
ได้รับตำแหน่งเป็นมกุฎราชกุมาร (Rittaishi no Rei) วันที่ : 10 พฤศจิกายน 1952 (พระชนมายุได้ 18 ชันษา)
ขึ้นครองราชเมื่อ : 7 มกราคม 1989
เฉลิมฉลองการครองราชเมื่อ (Sokui Rei Seiden no Gi) : 12 พฤศจิกายน 1990
การศึกษา : จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัย Gakushuin University ในปี 1956
พระราชประวัติสมเด็จพระจักรพรรดินี Michiko
พระนาม : Michiko
สืบเชื้อสายจาก : เป็นลูกสาวคนโตของ Hidesaburo Shoda
วันประสูติ : 20 October 1934
ตำแหน่งกิติมศักดิ์ : เป็นผู้อำนวยการกิติมศักดิ์ของ Japanese Red Cross Society
การศึกษา : ทรงจบการศึกษาจาก คณะการฑูต และ คณะอักษณศาสตร์ University of the Sacred Heart ในปี 1957
ทรงอภิเษกตามกฎหมาย (ทะเบียนสมรส) (Nosai no Gi) เมื่อ : 14 มกราคม 1959
ทรงเข้าพิธีอภิเษกเมื่อ : 10 เมษายน 1959
พระราชบุตรและพระธิดา
1. ทรงให้กำเนิดมกุฎราชกุมาร Naruhito เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 1960.
2. ทรงให้กำเนิดเจ้าชาย Akishino (Fumihito) เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1965
3.ทรงให้กำเนิดเจ้าหญิง Sayako เมื่อวันที่ 18 เมษายน 1969

เครื่องแต่งกายญี่ปุ่น





Kimono ถ้าแปลตามตัวอักษรคันจิจะแปลว่า "เครื่องนุ่งห่ม,เสื้อผ้า,เครื่องอาภรณ์" และมีวิวัฒนาการความเป็นมาที่ยาวนานคู่กับประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งกลายเป็นภาพติดตาเมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องนึกถึงภาพคนญี่ปุ่นในชุดกิโมโนที่สวยงาม Kimono มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันแล้วแต่โอกาสในการใส่ และเปลี่ยนรูปแบบไปตามฤดูกาล รวมถึงการสวมใส่ของแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัยก็ทำให้ Kimono เปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ


ปัจจุบันผู้ที่สวมใส่ Kimono ไม่ได้มีเพียงแต่คนแก่เท่านั้น วัยรุ่นก็ต้องใส่ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น วันฉลองอายุครบ 20 ปี , วันจบการศึกษา (ในบางโรงเรียน) เป็นต้น Kimono เป็นชุดที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงนิยมมอบให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานอีกด้วย แต่ก็มีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่ไม่สามารถสวมกิโมโน หรือผูกโอบิได้ถูกต้อง จึงได้มีโรงเรียนสำหรับสอนการสวมใส่กิโมโนเกิดขึ้น เนื้อผ้ากิโมโนนั้นมีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมแต่ถ้าเป็นไหมก็จะสวยงามมาก และราคาอาจจะสูงถึง ล้านเยน เลยก็มี
เมื่อพูดถึงเครื่องนุ่งห่มของชาวญี่ปุ่น หลายคนต้องนึกถึงชุด กิโมโน (KI MONO) แต่ชาวญี่ปุ่นจะสวมชุดกิโมโน ในโอกาสสำคัญบางโอกาส คือ พิธีบรรลุนิติภาวะ, งานแต่งงาน และพิธีเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา เท่านั้น นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่นิยมใส่กิโมโนไปในพิธี แต่โดยทั่วไปแล้วมักใส่ชุดเช่นเดียวกับชาวยุโรปทั่วไป ซึ่งชุดต่าง ๆ เหล่านี้ ถูกนำเข้าที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคสมัยเมจิ (MEIJI ERAS) นับจากนั้นมาเสื้อผ้าแบบฝรั่งกลับเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นมากกว่ากิโมโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะนิยมใส่ยีนส์กันมาก กิโมโน ถือว่าเป็นชุดญี่ปุ่น (WAFUKU) เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเป็นเส้นตรงเย็บจากผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ว่าจะเป็นคนสูง - เตี้ย - อ้วน - ผอม สามารถใส่ชุดกิโมโนได้สบายได้สบาย ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นข้อดีของกิโมโนเพราะตัดเพียงขนาดเดียวสามารถนำมาใส่ได้หมาะสมกับรูปร่างคนใส่ได้ทั้งหมด

ชุดกิโมโนอาจมีกำเนิดมาเช่นเดียวกับ ผ้า FUROSHIKI ซึ่งนำมาใช้ห่อของ แต่กลับนำมาห่อหุ้มร่างกาย แต่ชุดกิโมโนชุดใหญ่ที่นำมาใส่ในพิธีสำคัญ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีบรรลุนิติภาวะ เป็นชุดที่มีราคาแพงมากบางชุดมีมูลค่าสูงเป็นหลายล้านเยนทีเดียว ดังนั้นการเลือกสีและลายจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เนื่องจากว่าต้องสามารถนำชุดที่มีราคาแพงมาใส่ได้แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปี และผู้ใส่มีอายุสูงขึ้นแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้กิโมโนแทบจะไม่มีผู้ใส่แล้วเนื่องจากใส่ยาก, ใส่แล้วอึดอัด ต้องคอยระมัดระวังไม่สามารถทำตัวตามสบายได้ รวมถึงราคาสูงมาก เป็นต้น แต่ชุดกิโมโนที่ยังมีอยู่นิยมใส่อยู่คือ ชุด YUKATA เป็นชุดกิโมโนประเภทหนึ่งทำด้วยผ้าฝ้ายสำหรับใส่ในฤดูร้อน เมื่อเทียบกับชุดกิโมโนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ตัดเป็นผ้าไหมแล้ว ชุดยูกาตะมีราคาถูกสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย จึงมีผู้นิยมใส่กันอยู่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ แทบจะทุกคนเคยสวมชุดยูกาตะ รำวงญี่ปุ่นที่เรียกว่า "BON ODORI" ในตอนสวมชุดกิโมโน ต้องสวมถุงเท้าที่เรียกว่า "ZORI" และรองเท้าเกี๊ยะ ที่เรียก "GETA" "สวมใส่ยูกาตะต้องสวม GETA" ในอดีตจนถึงราวทศวรรษที่ 1950 ชาวญี่ปุ่นสวมรองเท้าเกี๊ยะกับเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแม้ในเมืองจะพบเห็นร้านขายรองเท้าเกี๊ยะ และมีคนขายนั่งทำรองเท้าเกี๊ยะอยู่ในร้านด้วยแต่ในปัจจุบันนี้ร้านรองเท้าเกี๊ยะแทบจะไม่ได้พบเห็นหลังจากวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นให้หายไปทีละน้อย จนแทบจะไม่สามารถพบเห็นกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หน้าเสียดายมาก

Yukata - กิโมโนสำหรับใส่ในฤดูร้อน หรือใส่ลำลอง

Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน ใส่ได้ทั้งชายและหญิง มักจะสวมเมื่อต้องออกไปข้างนอก เนื่องจากกิโมโนราคาแพงจึงต้องสวม Haori เพื่อป้องกันกิโมโนเปื้อน สาบเสื้อด้านหน้าจะไม่ผูกให้ชนกัน แต่จะมีเชือกสำหรับผูกอยู่ด้านหน้า
Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน
Michiyuki - เป็นเสื้อสำหรับสวมด้านนอกเช่นกัน ลักษณะการใช้งานจะคล้ายกับ Haori จะแตกต่างกันตรงคอเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม
gi - เสื้อที่ใส่คู่กับ hakama สำหรับผู้ชาย gi นั้นใช้สวมเป็นเสื้อเมื่อเล่นกีฬาต่าง ๆ
ไม่ว่าจะเป็น kendo, judo, ยิงธนู, akido เป็นต้น
Hakama - กางเกง สามารถใส่ได้ทั้งหญิงและชาย ใช้สวมใส่ลำลอง หรือพิธีการ
หรือแม้แต่ใช้ในการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็น kendo, ยิงธนู ฯลฯ
Samugi (Samue) เป็นเครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าฝ้าย สวมใส่สบาย ใช้สวมใส่ขณะทำงานที่อาจจะต้องมีเหงื่อ เช่น งานเสิร์ฟอาหาร, ทำสวน, ออกกำลังกาย หรือบางคนก็ใส่อยู่บ้านก็ได้ ในสมัยก่อนเป็นเครื่องแต่งการของพระแต่ปัจจุบันนิยมสวมใส่ในคนทั่วไป

เมื่อซากุระจะบาน???



ซากุระ (ภาษาญี่ปุ่น : 桜 หรือ 櫻) เป็นดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น มีถิ่นกำเนิดในจีนตอนใต้ เกาะไต้หวัน หมู่เกาะโอกินาวา ญี่ปุ่น ลักษณะเด่นของซากุระก็คือ เมื่อร่วง จะร่วงพร้อมกันหมด ซากุระจึงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดทหารและซามูไรของญี่ปุ่น
มีดอกซากุระในเกาหลี, สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, จีน หรือที่อื่นๆ แต่ไม่มีกลิ่น ขณะที่ซากุระของญี่ปุ่นนั้นผู้คนจำนวนมากยกย่องชื่นชมกลิ่นของมัน และมักจะกล่าวฝากไว้ในบทกวี

ดอกซากุระของญี่ปุ่นนี้ ในภาษาอังกฤษมีคำเรียกทั่วไปว่า “cherry blooms” หรือ “cherry blossom” หรือไม่ก็ “Japanese Flowering Cherry” จะบานในช่วงปลายมีนา-ต้นเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิเริ่มอุ่นขึ้นจากฤดูหนาวที่หมดไป

ดอกซากุระ ในภาษาญี่ปุ่นนั้น เชื่อกันว่ากร่อนมาจากคำว่า ซะกุยะ (หมายถึง ผลิบาน) อันเป็นชื่อของเจ้าหญิง โคโนฮะนะซะคุยาฮิเม มีศาลบูชาของพระองค์อยู่บนยอดเขาฟูจิด้วย สำหรับพระนามของเจ้าหญิงองค์ดังกล่าวนั้น มีความหมายว่าเจ้าหญิงดอกไม้บาน และเนื่องจากซากุระเป็นดอกไม้ที่นิยมกันมากในญี่ปุ่นสมัยนั้น คำว่าดอกไม้ดังกล่าวจึงหมายถึงดอกซากุระนั่นเอง เจ้าหญิงองค์ดังกล่าวได้รับพระนามเช่นนั้น ก็เพราะมีเรื่องเล่ามาว่าทรงตกจากสวรรค์ มาบนต้นซากุระ ดังนั้น ดอกซากุระจึงถือเป็นตัวแทนของดอกไม้ญี่ปุ่น ขณะที่รัฐบาลประกาศให้ดอกเก็กฮวย (ดอกเบญจมาส) เป็นดอกไม้ประจำชาติ








วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รักแท้มีอยู่จริง

เปิดประตูสู่โลกJapan....


ญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 日本 Nihon/Nippon นิฮง/นิปปง ?) มีชื่อทางการคือประเทศญี่ปุ่น

(ญี่ปุ่น: 日本国 Nihon-koku/Nippon-koku นิฮงโกะกุ/นิปปงโกะกุ ?) เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสก์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทำให้บางครั้งถูก เรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก
[7] หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คิวชู และ ชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน[8] เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน
สันนิษฐานว่ามนุษย์มาอาศัยในญี่ปุ่นครั้งแรกตั้งแต่
ยุคหินเก่า การกล่าวถึงญี่ปุ่นครั้งแรกปรากฏขึ้นในบันทึกของราชสำนักจีนตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 1 ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนในหลายด้าน เช่นภาษา การปกครองและวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรับเปลี่ยนให้เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้ญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่โดดเด่นมาจนปัจจุบัน อีกหลายศตวรรษต่อมา ญี่ปุ่นก็รับเอาเทคโนโลยีตะวันตกและนำมาพัฒนาประเทศจนกลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและมีอิทธิพลมากที่สุดในเอเชียตะวันออก หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองโดยการใช้รัฐธรรมนูญใหม่ใน พ.ศ. 2490
ญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ โดยมีจีดีพีสูงเป็นอันดับสองของโลก ญี่ปุ่นเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ จี 8 โออีซีดี และเอเปค และมีความตื่นตัวที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาของต่างประเทศ ญี่ปุ่นมีมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดี และยังเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี เครื่องจักร และหุ่นยนต์